เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ วันนี้วันพระ วันพระ วันโกนเป็นวันทำบุญกุศลของชาวพุทธ พระพุทธศาสนา เวลาลัทธิศาสนาอื่นเขาก็ยังไปวัดไปวาของเขา ไอ้เราก็จะไปวัดไปวาของเรา แต่ถ้าไปวัดไปวาของเรา คนทุกข์คนจนมันก็วัดกันที่หัวใจนี้ไง ข้อวัตรปฏิบัติคือวัดที่หัวใจเรานี่ ไปวัดไปวาเขาไปวัดหัวใจ พัฒนาหัวใจให้ดีขึ้น เวลาไปวัดไปวาก็เพื่อบุญกุศล ไปจำศีลๆ
ดูสิ เวลาดูกบจำศีล ดูสัตว์มันจำศีลสิ มันจำศีลเพราะมันไม่มีอาหารจะกิน มันจำศีลเพราะมันเป็นฤดูกาล มีความจำเป็นต้องจำศีลของมัน แต่เวลาเราจำศีลของเรา เราจำศีลแบบมนุษย์ มนุษย์ถ้าจำศีล มีศีลมีธรรม ฤๅษีชีไพรเขาก็มีศีล ๕ ศีล ๘ ของเขามาตั้งแต่สมัยโบราณ นี่การถือศีล ศีลของเขาไง
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูสิ เวลาเขาไหว้ทิศ เขาไหว้ทิศ เขาถือฤกษ์ถือยามไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเราก็ไหว้เหมือนกัน เราก็ไหว้เหมือนกัน แต่เราไหว้ของเราไม่ไหว้เหมือนเธอ เวลาเราไหว้ของเรา ทิศเบื้องบน พ่อแม่ครูบาอาจารย์ของเรา ทิศเบื้องหน้า สิ่งที่เป็นมิตรเป็นสหาย ถ้าทิศของเรา รอบทิศ เราบริหารทิศอย่างไร เวลาบริหารทิศอย่างไร นี่ทำเหมือนเขา โลกเขามีของเขาอยู่ แต่เขาทำด้วยสติปัญญาของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสอน สอนย้อนเข้ามาที่หัวใจของสัตว์โลกไง
เวลามนุษย์เราเกิดมา มนุษย์เกิดมา ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุดๆ แล้วเวลาชีวิตเกิดมา เวลามันทุกข์มันจนนะ มันบีบคั้นนะ เวลาทุกข์จนเข็ญใจนี่บีบคั้นมาก ทำไมเราเกิดมาวาสนาน้อย ทำไมเราเกิดมาวาสนาน้อย ทำไมคนอื่นเขาเกิดมามั่งมีศรีสุขๆ ไง อันนั้นเราวัดกันด้วยบุญด้วยบาป
ด้วยบุญด้วยบาปนะ ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ บางชาติเกิดเป็นจักรพรรดิ บางชาติเกิดเป็นสัตว์ บางชาติๆ นี่ก็เหมือนกัน เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราเกิดมา เกิดมาด้วยเวรด้วยกรรมของเราทั้งนั้นน่ะ เราจะไม่น้อยเนื้อต่ำใจสิ่งใดทั้งสิ้น เพราะเราเป็นคนที่ทำมาทั้งสิ้น เวลาเราทำของเรามานะ เวลาเรามาพบ มาประสบสิ่งที่เราทำมา เราไปกลัวอะไร เรากลัวอะไร เราทำคุณงามความดีของเราๆ เพราะเราเชื่อมันในพระพุทธศาสนา เราเชื่อมั่นในปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อนาคตังสญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทะลุปรุโปร่งไปหมด เห็นไหม บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ สิ่งนี้มาจากไหน มนุษย์นี้มาจากไหน
มนุษย์มาจากไหนนะ เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไง เวลาปฏิบัติมันจะลงหรือไม่ลง จิตมันจะเป็นสมาธิหรือไม่เป็นสมาธิไง มันอยู่ที่อำนาจวาสนาของคนนะ ขิปปาภิญญา ผู้ที่ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย เวลาปฏิบัติง่ายรู้ง่าย แต่ชาติที่แล้ว พาหิยะเขาไปหน้าผาตัด ขึ้นไป ๕ คน สำเร็จไปอยู่คนหนึ่ง ได้อนาคามีคนหนึ่ง นอกนั้นตายหมดเลย ตายบนนั้นน่ะ นั่นน่ะ แล้วเขาก็มาเกิดใหม่ๆ พอเกิดใหม่ขึ้นมา ด้วยบุญวาสนาของเขา ด้วยการภาวนามา เป็นพ่อค้าเรือแตก เรือแตกกลับมา พอเข้ามา ขึ้นมาจากฝั่ง ใครๆ ก็ว่าเป็นผู้วิเศษ เป็นผู้วิเศษก็ได้ลาภ เป็นผู้วิเศษใครๆ ก็เคารพบูชา
ด้วยอำนาจวาสนา เพื่อนของเขามาเตือนเขาเลย “บัดนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว เธอไม่ใช่พระอรหันต์ ให้ไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปฟังธรรม” พอฟังธรรมๆ เวลาไปฟังธรรมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เธอจงดูโลกนี้เป็นสักแต่ว่า อย่าไปข้องเกี่ยว ใจของเราประเสริฐกว่าถ้าเรามีสติปัญญา” สำเร็จเป็นพระอรหันต์น่ะ เวลาปฏิบัติง่ายรู้ง่าย แต่มันต้องมีที่มาที่ไป พันธุกรรมของจิตๆ
ไอ้ของเราพยายามตั้งใจจะภาวนา ถูลู่ถูกังกันอยู่นี่ ทำสิ่งใดก็ไม่ได้ ทำสิ่งใดก็ไม่ประสบความสำเร็จ ไอ้นี่มันอยู่ที่เราทำมา ถ้าเราทำอย่างนี้มาแล้วเราจะไปโทษใครล่ะ เราไม่โทษใครทั้งสิ้น แต่เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมา เราเอาหลักเกฌฑ์ เอาหลักธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นบรรทัดฐาน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราทำมาขนาดนี้ เราได้มาขนาดนี้ เรายังมีเป้าหมายว่าเราจะทำให้ดีมากกว่านี้ ไอ้คนที่เขาไม่ได้ทำมาหรือเขาทำมา เกิดในประเทศอันสมควร เกิดในประเทศอันไม่สมควร
เกิดในประเทศ เห็นไหม ดูสิ พระพุทธศาสนานี้ประเสริฐเลอเลิศ ในโลกนี้นับถือพระพุทธศาสนาเท่าไร เขานับถือศาสนาอื่นมหาศาลเลย อ้อนวอนขอเอา ทำอะไรก็แล้วแต่ใครจะบังคับบัญชา ใครจะตัดสินให้...เป็นอย่างนั้นหรือ กรรมอยู่ที่การกระทำ ความลับไม่มีในโลก เพราะเราเป็นคนทำเอง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
แล้วภาวนาไม่เป็นก็บอกภาวนาเป็น นี่ความลับไม่มีในโลก ภาวนาไม่เป็นเพราะไม่มีเหตุไม่มีผล มันจะเป็นได้อย่างไร คนภาวนาเป็นมันต้องมีเหตุมีผลสิ ศีล สมาธิ ปัญญา สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ไม่รู้เห็น ไม่รู้จัก ตะพึดตะพือ เอาความคิดเป็นปัญญาๆ ปัญญาอะไรของเอ็ง สัตว์มันก็มีปัญญา
เวลาคนที่ภาวนาแล้วเขามีเหตุมีผลของเขา เวลาจิตมันสงบเข้ามันแล้ว ถ้าจิตสงบแล้ว จิตเห็นอาการของจิต ถ้าจิตเห็นอาการของจิต เห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง ไอ้นี่จิตมันไม่สงบ จิตไม่สงบมันก็เป็นความคิดของเรา ถ้าความคิดความเห็นของเรามันก็เป็นความคิดของเราทั้งนั้นน่ะ สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา แล้วก็ตะพึดตะพือเน้นย้ำว่าปัญญาๆ
ตัวมันก็ใช้ปัญญาเหมือนกันน่ะ มันเป็นกุศลอกุศลเท่านั้นน่ะ เวลาโจรมันใช้ปัญญามันก็คิดเหมือนกัน เวลาคนมันโกง คนมันเอารัดเอาเปรียบมันคิดซับซ้อนจนเราไม่ทันมันน่ะ แล้วมันคิดขึ้นมา คิดขึ้นมาเพื่ออะไร
หลวงตาท่านสอนนะ ไปกวาดเอาบาปอกุศลมา ไปกวาดเอาแต่สิ่งเป็นพิษเป็นภัยเข้ามาในหัวใจของตน แล้วก็คิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองแน่
ตัวเองเก่ง ตัวเองแน่มันเป็นอย่างนั้นหรือ คนที่มีบารมี ดูสิ คนที่สังคมยอมรับๆ เขาทำคุณงามความดีของเขา ไม่ต้องอะไรมากหรอก ความดีเล็กน้อย ในหมู่บ้านนั้นเขาเป็นคนที่มีน้ำใจนะ เดี๋ยวมันก็ขจรขจายไปจนเขาล่ำลือ เห็นไหม ความดีเป็นความดี ทำที่ไหนมันก็เป็นความดีวันยังค่ำ ไม่ต้องความดียิ่งใหญ่ ทำดีเอาหน้า เวลาพิจารณาจะเอาชนะคานกัน แล้วมันก็ไปทะเลาะเบาะแว้งกัน เห็นไหม
เราทำของเรา มีมากมีน้อย เราทำประสาเรา ไม่มีเลย นี่การภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา ทาน ศีล ภาวนา เวลาระดับของทาน ระดับของศีล ระดับของภาวนา เวลาเราไปวัดไปวา เรามีวัตถุทาน มีไทยทานไปถวายทาน เวลาไปแล้ว พระให้ธรรมทาน ให้สติให้ปัญญา ให้เตือนสติ สิ่งที่ต้อนรับ ให้ธรรมะเป็นทานๆ แล้วธรรมะมันมาจากไหน สิ่งที่เราแสวงหา แสวงหาเอามาจากไหน
นี่ไง ถ้าเราไม่มี ศีล สมาธิ ปัญญา การนั่งภาวนาประเสริฐที่สุด ทาน ศีล ภาวนา การหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้าเราไม่มีสิ่งใดเลย เราเห็นคุณค่า เราบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการปฏิบัติบูชา เราเอาร่างกายนี้เทิดใส่พานถวายพระพุทธเจ้าเลย นั่งสมาธินี่ เราเอาตัวเราถวายพระพุทธเจ้ามันจะไม่ได้บุญตรงไหน
ถ้าเราบอกว่า เราเป็นคนทุกข์คนเข็ญใจ เราไม่สิ่งใดจะทำบุญกุศลนะ
บุญกิริยาวัตถุ จะทำอย่างไรก็ได้แล้วแต่อิสรภาพของเรา เป็นสิทธิ์ของเรา แต่เราถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการนั่งสมาธิ แล้วถ้ามันเป็นสมาธิขึ้นมา มันเป็นจริงขึ้นมา พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
เขากระเสือกกระสนไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขากระเสือกกระสนไปหากัน เขาไม่เจอ ไอ้เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ แล้วมันมีความรู้สึก มันมีความจริงในใจของเรา พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันมีความสุขนะ ถ้าเป็นความจริง ความจริงเป็นความมหัศจรรย์ ใครทำสมาธิได้แล้วเอ๊อะ! เอ๊อะ! มันพูดไม่ถูกหรอก
ไอ้ที่ว่าว่างๆๆ มันสร้างภาพ นี่ไง อะไรที่มันไม่มี มันสกปรกโสโครกมันก็สกปรกใช่ไหม ถ้ามันสะอาดขึ้นมามันก็สะอาดใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน โอ๋ย! ว่างๆๆ...ว่างอะไรของเอ็ง เพราะอะไร
รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ถ้าจิตมันสงบระงับเข้ามา โอ้โฮ! มันมหัศจรรย์ มหัศจรรย์หัวใจเราเองนะ มหัศจรรย์ธาตุรู้นี่ สิ่งใดที่มันมีค่านะ แก้วแหวนเงินทองมันมีค่า เราแสวงหามา ยศถาบรรดิศักดิ์มันก็ชั่วคราวทั้งนั้นน่ะ สิ่งใดถ้าเราทำความสงบของใจได้ นั่นมันสมบัติของเรา มันไม่อิงอามิส เห็นไหม
เราจะมีความสุขได้ต่อเมื่อเราได้เสพ อยากได้ อยากดี อยากเด่น แล้วแสวงหามา ได้มาแล้ว โอ้โฮ! มีความสุข เดี๋ยวเดียวเท่านั้นแหละ เดี๋ยวมันเอาอีกแล้ว มันจะเอาให้มากกว่านี้
แต่ถ้าเราหายใจเขานึกพุท หายใจออกนึกโธ เวลาสงบเข้ามา ไม่ต้องแสวงหาสิ่งใดเลยน่ะ จิตเราเป็นเอกเทศ แม้แต่นะ เวลาลงอัปปนาสมาธิ กายกับใจอยู่ด้วยกัน เวลาเกิด ใจนี้สำคัญที่สุด เพราะมันปฏิสนธิจิต เกิดในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ มันมีการอุบัติมันถึงมีสิ่งมีชีวิต แล้วเกิดมาเป็นมนุษย์มันมีคุณค่า สิ่งนี้นะ มีคุณค่า เพราะอะไร เพราะมีกาย เวทนา จิต ธรรม สติปัฏฐาน ๔ มันเกิดได้ที่นี่ไง
นี่มันเป็นให้เห็น เพราะเรามีกาย มีความบีบคั้น มีความทุกข์ความยาก ถ้าไม่มีอาหารก็ตาย แล้วการกระเสือกกระสนหาอาหารนั้นน่ะ ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ ความถูกต้องดีงาม แล้วถ้าทำบุญกุศลขึ้นมามันก็เป็นบุญ เป็นอกุศล ลักเล็กขโมยน้อยเขามาเพื่อเลี้ยงชีพ นี่ไง มันบีบคั้นๆ บีบคั้นแล้วเราจะหาเลี้ยงชีพมันด้วยสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิ ถ้ามันสัมมาทิฏฐิ ถูกต้องดีงาม มันดีขึ้น
สิ่งที่มีค่าๆ ชีวิตนี้มันมีค่า แล้วมีค่า ใจมันที่มีค่า ปฏิสนธิจิตในไข่ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ แล้วกายกับใจอยู่ด้วยกัน เวลาลงอัปปนาสมาธิ ใจเป็นอัปปนาสมาธิ มันไม่รับรู้แม้แต่ร่างกายของมันเองเลย สงบหมด ว่างหมด อายตนะไม่มี ดับหมด ธาตุรู้นี้เด่นมาก ดับอายตนะ ดับความรู้สึก ดับต่างๆ มันมหัศจรรย์ขนาดนั้นนะ
ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ เวลาสมาธิมันมหัศจรรย์อย่างนั้นอยู่แล้ว แล้วถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ ความถูกต้องดีงาม ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนา ขณะที่ยกขึ้นสู่วิปัสสนา คนเรามีเงินคนละ ๑ ล้านบาท คนละ ๑ ล้านบาท บางคน ๑ ล้านบาทเอาไปเล่นการพนันจนหมดสิ้น บางคน ๑ ล้านบาทเอาไปให้เขาโกง บางคน ๑ ล้านบาทเอาไปอีลุ่ยฉุยแฉก บางคนมี ๑ ล้านบาท ๑ ล้านบาทนั้นเอาไปลงทุน เอาไปทำทุนของตน บางคนมี ๑ ล้านบาททำเพื่อประโยชน์ของตน นี่ก็เหมือนกัน จิตสงบแล้วทำอะไร
จิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนานั้นอีกเรื่องหนึ่งนะ ทำความสงบของใจ สมถกรรมฐาน ยกขึ้นสู่วิปัสสนากรรมฐาน การยกขึ้นสู่มันเป็นอีกระดับหนึ่ง ระดับของสัมมาสมาธิ ระดับของวิปัสสนา มันมีระดับของมันนะ แต่คนไม่รู้ไม่เห็นก็มั่ว พยายามกดดันให้มันเป็นอย่างที่ความคิดของตนๆ มันก็เลยกลายเป็นกดดันตัวเอง ภาวนาแล้วเป็นอย่างนั้น
ภาชนะของเราไม่สะอาด มันจะมีของดีขนาดไหนมาใส่ในภาชนะนั้น มันก็เป็นของสกปรกไปด้วย ภาชนะของเราสะอาด ของสิ่งใดมาใส่ในภาชนะสะอาดหมด
หัวใจของเรานะ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากได้ อยากดี อยากเด่น โอ้โฮ! มันเต็มหัวใจเลย ทำความสงบของใจของตนๆ ทำความสงบของใจ ทำความสะอาดในหัวใจของเรา จิตเป็นสัมมาสมาธิมันสะอาดบริสุทธิ์ มันเป็นสากลอยู่แล้ว ทุกลัทธิศาสนาทำความสงบ ทำสมาธิทั้งนั้น แต่เป็นมิจฉา สมาธิคืออะไร แล้วทำสมาธิมาเพื่ออะไร
ในพระพุทธศาสนา ศีล สมาธิ ปัญญา ทำสมาธิก็สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน สมาธิคือจิตเดิมแท้ คำว่า “จิตเดิมแท้” ขึ้นมา ปฏิสนธิจิต กายกับใจๆ ใจนี้สำคัญที่สุด เพราะใจไปเกิดเป็นพรหม จิตเกิดเป็นเทวดา จิตเกิดเป็นมนุษย์ จิตไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน จิตไปเกิดในอบายภูมิ จิตทั้งนั้น จิตเกิดทั้งนั้นน่ะ
กายกับใจๆ กายกับใจอย่างไร เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะๆ เวลาจิตมันสงบเข้ามาแล้ว ถ้าจิตสงบไปแล้ว นั่นน่ะมันจะยกขึ้นสู่วิปัสสนา
ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ฐานที่ตั้งแห่งการเกิดและการตาย เพราะถ้าจิตสงบแล้ว วิปัสสนาแล้ว ถ้าเป็นพระโสดาบัน อีก ๗ ชาติ
คนเราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีต้นไม่มีปลายนะ เราจะต้องไปตามเวรตามกรรมของเรา จะเชื่อหรือไม่เชื่อไม่สำคัญ ความเชื่อไม่ใช่ความจริง ความเชื่อของคนเป็นเรื่องหนึ่ง ความเชื่อของทิฏฐิมานะของคนเป็นเรื่องหนึ่ง ความจริงเป็นเรื่องหนึ่ง
ไอ้ที่นักประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเขาพยายามแสวงหาความจริงขึ้นมาด้วยสติด้วยปัญญาของตน เวลาแสวงหาความจริงด้วยสติปัญญาของตน เวลาตนเห็น ตนรู้เอง รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงของตน โอ้โฮ! มันจบ มันจบที่นี่ไง แล้วอธิบายอย่างไร นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วนะ มันละเอียดลึกซึ้งจนจะบอกใครได้ๆ
ก็บอกเรื่องในใจเอ็งนั่นน่ะ บอกในเรื่องความสกปรกโสโครกในใจเอ็งนั่นน่ะ บอกเวลาเรื่องสิ่งที่จิตมันสงบแล้ว จิตสงบเป็นสากล ยกขึ้นสู่วิปัสสนา มันเป็นหรือไม่เป็น ถ้ามันเป็นขึ้นมา มันเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง ถ้ามันเห็นแล้วมันใช้สติปัญญาไป มันจะเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดการพิจารณาในกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน โอ้โฮ! มันมหัศจรรย์
เพราะคนที่มหัศจรรย์ คนไม่เคยรู้เคยเห็น คนที่เห็นภาวนามยปัญญาโดยสมบูรณ์ อย่างน้อยต้องเป็นพระโสดาบันขึ้นไป เพราะมันจะเป็นได้มันเป็นด้วยภาวนามยปัญญา ปัญญาที่ทำให้เป็นพระโสดาบันนั่นน่ะ ถ้าปัญญาไม่สมบูรณ์ขึ้นมาจะเป็นพระโสดาบันได้อย่างไร
ถ้ามันไม่เป็นพระโสดาบันก็เป็นการคาดหมายไง การคาด การเดา แล้วไอ้พวกตรรกะปรัชญา โอ้โฮ! มันเลอเลิศ มันเป็นคุ้งเป็นแควนะ มันพูดได้วันยังค่ำ คืนยันรุ่ง มันพูดได้หมด แต่ไม่จริง ไม่จริง ไม่จริงเพราะอะไร เพราะสิ่งนั้นมันเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา เป็นเรื่องของศาสดานะ เป็นเรื่องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันจะเป็นความจริงในใจของเรา ถ้ามันเป็นความจริงของเรา
ที่เรามาวัดมาวากัน เรามาสร้างบุญกุศล เราจะพัฒนา วิวัฒนาการให้จิตมันสูงขึ้น สูงขึ้นด้วยนามธรรม สูงขึ้นด้วยจิตที่มันยกขึ้น มันไม่เห็นคุณค่าในโลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ไร้สาระมากเลย มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศเป็นตัวถ่วง เป็นตัวชักนำให้เราออกนอกลู่นอกทาง
แต่ถ้าเราวางหมด เราเหนือ เหนือมีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ จิตใจที่เหนือกว่า มันวางสิ่งนั้นได้ ใครจะชม ใครจะว่า ใครจะติ ใครจะเตียน ใครรจะสรรเสริญนินทา เรื่องของเขา เรื่องของเขา อยู่ห่างไกลใจเรามาก ใจของเราอยู่กับพุทโธ อยู่กับพุทโธของเรา เราประพฤติปฏิบัติของเราไป นี่ไง ที่มันจะยกขึ้นๆ พัฒนาการของจิตที่มันประเสริฐขึ้นๆ ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาได้ แล้วถ้ามันเห็นตามความจริงขึ้นมา เห็นภาวนามยปัญญา มันปล่อยวางได้หมด มันปล่อยวาง ทั้งๆ ที่ว่าศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์นะ
มนุษย์ไม่ให้ใครมาเหยียดหยามเย้ยหยัน แต่เวลามันมีสติปัญญาขึ้นมาแล้วนะ โลกธรรม ๘ เรื่องลมปาก เรี่องลม เรื่องนินทากาเล ไร้สาระ แต่ถ้าเรามีทิฏฐิมานะ เรามีตัวตนไง ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ มนุษย์นะ มนุษย์ ดูถูกกันได้หรือ โอ้โฮ! เกิดทิฏฐิมานะแล้วก็ฟาดฟันกัน
แต่ถ้าเขาดูถูกดูแคลนด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก นั้นคือเวรกรรมของสัตว์ เขาทำเท่าไรเขาได้เท่านั้น ที่หลวงตาพูดประจำ เขาไปกว้านฟืนกว้านไฟมาใส่ใจเขา เขาไปกว้านมาเองนะ
เรานินทากาเล เราดูถูกดูแคลนใคร สิ่งนั้นคือกรรมของจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นมันตกต่ำนะ เราเที่ยวดูถูกดูแคลนเขาไปทั่ว แต่ด้วยหัวใจที่มันต่ำต้อย แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเราท่านไม่ใช่ดูถูกดูแคลน ท่านดูจริง ดูแล้วจิตใจที่ต่ำต้อย ท่านพยายามจะชักนำจูงให้สูงขึ้น
เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการ ท่านต้องการพัฒนาจิตของคนให้มันสูงขึ้น สูงขึ้นด้วยการปล่อยวางทิฏฐิมานะ ให้จิตมันเด่นขึ้นมา เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นดวงใจของเราที่มันเด่นชัดกลางหัวใจที่มีคุณค่า ไม่กวัดแกว่ง ไม่ไปเป็นเหยื่อใคร นี่ไง ถ้ามันพัฒนาขึ้นได้มันพัฒนาอย่างนี้ แล้วถ้าพัฒนาขึ้นมาได้อย่างนี้แล้วนะ ทำความสงบของใจขึ้นมาแล้วมันฝึกหัดใช้ปัญญาของมัน เวลาปัญญามันก้าวเดินไปแล้วมันจะเคารพบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์สูงสุด
ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงนะ ถ้าไม่เคารพในพระรัตนตรัย มันจะเป็นศากยบุตรได้อย่างไร มันจะเป็นพุทธะได้อย่างไร ถ้ามันเป็นตามความเป็นจริง ไอ้ความจอมปลอมต่างหาก ไอ้ความเหยียบย่ำต่างหาก อันนั้นน่ะความจอมปลอม ถ้าความจริงเป็นอย่างนี้ เห็นไหม นี่ไง สิ่งที่ฟังธรรม ฟังธรรมเพื่อตอกย้ำหัวใจดวงนี้
ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุดนะ แล้วชีวิตของเรา เราเกิดมาแล้วเราได้อะไรติดไม้ติดมือไป คนเกิดมาแล้วตายทั้งนั้น เราก็เห็นมาทั้งนั้น คนเกิดมา ตายไปหมดแล้ว เราอยู่ระหว่างกลางที่มีชีวิตอยู่นะ แล้วเราจะทำอะไรต่อไป สมบัติทางโลก ชื่อเสียงเกียรติศัพท์เกียรติคุณ ความสุขจริงในใจของเราน่ะ ศีล สมาธิ ปัญญา อกุปปธรรม ธรรมที่แท้จริงรอเราให้ค้นคว้า แล้วค้นคว้าที่ไหนไม่มี เว้นไว้แต่ในพุทธะ จิตเดิมแท้ของสัตว์โลก ในหัวใจของเราเท่านั้นที่จะมาพบสัจจะความเป็นจริง เอวัง